วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประวัติสามัญชนคนธรรมดา

คำเตือน ท่านอาจไม่ได้อะไรเลยจากการอ่านบทความนี้
ประวัติคนธรรมดาคนหนึ่ง
 อ่านประวัติคนอื่นๆมาก็เยอะ  ล้วนแต่เป็นคนดัง คนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆมากมาย  หรือไม่ก็เป็นคนดีมีความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากๆ  สรุปก็คือประวัติของแต่ละคนที่เคยได้ศึกษาล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี
   วันนี้ผมเลยอยากเขียนประวัติตัวเองบันทึก เผยแพร่ไว้ เล่นๆ เผื่อมีคนสนใจครับท่านอาจไม่ได้อะไรเลยจากการอ่านบทความนี้
   พ่อผมชือ นายสมพงษ์  ชาวงษ์  ท่านเสียชีวิตแล้วละครับ


 ท่านเป็นทหารเก่าครับ กองพลทหารอาสาสมัคร แห่งกองทัพบกไทย อาสาสมัครไปปฏิบัติราชการสงครามใน กองพลทหารอาสาสมัคร กองกำลังทหารฝ่ายโลกเสรี  ณ สมรภูมิ แห่งประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม ในปี ๒๕๑๓ - ๒๕๑๔
  แม่ผมชื่อ  นางวันทา  ชาวงษ์  ท่านเสียชีวิตแล้ว




แม่ผมชอบทำบุญเข้าวัดฟังธรรมประจำตามประสาคนชนบททั่วๆไป อดีตท่านเคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแลลูกบ้านด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ

      ตอนที่แม่สมัครผู้ใหญ่บ้านผมเรียนอยู่ ม.๓  ที่ ร.ร.ปทุมรัตต์พิทยาคม  อ.ปทุมรัตต์  จ.ร้อยเอ็ด           ปั่นจักรยานจาก บ้านดูน  ต.โนนสวรรค์ ไปถึงโรงเรียนระยะทางก็ราว ๑๕ กม. วันนั้นผมกลับจากโรงเรียนเห็นคนมาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ผมที่ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมน่าจะเรียนอยู่ประมาณ ม.๒  ผมปั่นจักรยานไปเรียนตอน ม.๑ ถึง ม.๒  ผมพักอยู่ บ้านคุณตาคุณยายของผม  คุณตาผมก็เป็นผู้ใหญบ้านคนแรกของ บ้านโนนสง่า  ต.โนนสง่า อ.ปทุมรัตต์  ด้วยครับ  แต่ตอนผมเรียนอยู่ท่ายเกษียญแล้วล่ะ ระยะทางจากบ้านโนนสง่าไปโรงเรียนก็ราว ๕ กม.ซึ่งโรงเรียนนี้มีนักเรียนราวหนึ่งพันกว่านักเรียนส่วนมากก็ปั่นจักรยานไปโรงเรียนกัน  ซึ่งพวกผมจะเรียกมันว่า ถีบจักรยาน หรือ ขี่จักรยานครับ
 เลิกเรียนผมก็จะออกไปนาหาคุณตา ช่วยคุณตาปั้นคันแทนา(คันนา)โดยใช้จอบขุดดินขึ้นใส่แล้วใช้เท้าเหยียบกดลงไปทุกก้อนเลยครับ ค่ำลงหน่อยก็ไล่ต้อนควายกลับบ้าน ระยะทางก็ราวๆ ๒ กม.เดินอย่างเดียวครับ  ครั้งหนึ่งตอนที่พ่อมาทำนาที่บ้านคุณตา  หลังทำนาเสร็จผมไล่ต้อนควาย ๑๐ ตัวเดินกลับบ้าน   ระยะทางราว ๑๓ กม.ออกจากที่นา ราวห้าโมงเย็น เดินตามควายไปเรื่อยๆปล่อยให้มันกินหญ้าบ้างกินน้ำข้างทางบ้างกว่าจะถึงบ้านก็เกือบสองทุ่ม  พอผมขึ้น  ม.๓  นี่  ผมเทียวไปกลับทุกวันเลยครับไม่พักที่บ้านคุณตาคุณยาย ขี่จักรยานจากบ้านดูน ซึ่งมีผมคนเดียวครับที่มาเรียนที่ปทุมรัตต์ส่วนคนอื่นเขาไปเรียนที่ ร.ร.ทุ่งกุลาประชานุสรค์ และ ร.ร.จันทรุเบกษานุสรค์ ผมก็ขี่จักรยานไปทางบ้านน้ำคำก็ได้เพื่อนร่วมทางอีก ๔-๕  ถึงบ้านฮ่องแฮ่ บ้านหนองหญ้าก็ได้เพื่อนร่วมทางมากขึ้นครับ ปั่นจักรยานไปโรงเรียนจนเป็นแพทย์เป็นหมอครู อาจารย์ ทหารตำรวจก็เยอะครับ
       จบ ม.๓  ผม มาต่อ ม.๔ ที่  ร.ร.จันทรุเบกษานุสรค์ อ.เกษตรวิสัย  นั่งรถประจำทางไป โรงเรียน  รถประจำทางก็มีบ้างไม่มีบ้างบางคันก็รับบางคันก็ไม่รับ ไม่เห็นใจเยาวชนของชาติเลย ค่ารถ ๒ บาท เขาไม่อยากรับเสียเวลาทำมาหากิน ผมเรียนที่นี่ได้เทรอมเดียว ติด ๐   ๓ตัว ติด ร.๒ ตัว  ติด  ร.วิชาฟุตบอลด้วยครับเจ็บใจมากนักบอลดันมาติด ร.ฟุตบอล เทรอม ๒ ผม ไม่มาเรียน  จบชีวิตการเรียนในห้องเรียนไปตั้งแต่วันนั้น  ผมอยู่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควายตามประสาเด็กบ้านนอก ได้เปิดร้านขายของชำเล็กๆน้อยๆ แล้วก็เจ๋งไปในที่สุด เซ็นแล้วไม่จ่าย แกล้งลืมก็ไม่จ่าย หายหน้าไปเลย หรือ ไม่มีไม่หนีไม่จ่าย ก็มีครับ  แล้ว อาวาส  อยู่สุรินทร์ก็เขียน จม.มาหาว่า สนใจไปเรียนที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพหรือเปล่าช่วงนี้เขาเปิดรับ ผมก็เลยไป และได้เข้าเรียนที่นั่นหลักสูตร ๓ เดือน ช่างซ่อมมอเตอร์ไซด์ การเรียนที่นี่ผมได้ฝึกความอดทนในการเดินไกลราว ๔ กม.ไปกลับ ก็ ๘ กม.ทุกวัน ในการเดินไปเรียน เดินจากวัดไตรฯผ่านโรงบาลไปเลี้ยวซ้ายหน้า ร.ร.สุระฯ ผ่านสวนงาช้าง ผ่านสนามกีฬา ไปเรื่อยๆจนถึง ที่เรียนน่าจะเป็น กศนฯจังหวัด(ไม่แน่ใจ)หลังจากเรียนจบ ก็เข้าทำงานที่ร้านรวมไทยการช่างหน้าโรงบาลรวมแพทย์เยื้องวัดหนองบัว ในร้านมีช่างอยู่ ๓ คน ผมได้เรียนรู้การซ่อมมอเตอร์ไซด์เฒ่าแก่ไว้ใจผมมาก ให้ผมไปซื้ออะไหร่สั่งอะไหร่จากร้านต่างๆคิดเงินประเมินราคาอยู่ที่ผมหมดเฒ่าแก่เพียงรอรับเงินอย่างเดียวท่านเป็นคนใจดีมากครับผมจำได้ว่าขี่มอเตอร์ไซด์ล้มสองครั้งล้มที่หน้าปั้มน้ำมันสี่แยกวัดหนองบัว และ ในซอยอู่รถเมล์แต่ไม่เจ็บมานัก ช่วงอยู่ที่สุรินทร์ได้ดูฟรีคอนเสริตอยู่บ่อยๆที่ห้างสุรินทร์พาซ่าจัดขึ้นเช่น ไฮร็อค  เรนโบว์ และฮันนี่ ภัสสรฯ ชอบมากในสมัยนั้น คอนเสริตอัสนี วสัน กุ้มใจ บัตรเท่าไรไม่รู้ ชอบแต่ไม่มีเงินก็เลยรอไปดูแต่ของฟรี ต่อมาเจ้าของร้านจะเซ็งร้านต่อให้คนใหม่ เจ้าของร้านคนใหม่เรียกผมเข้าไปคุยว่าจะจ้างผมเป็นช่างต่อไป ส่วนเพื่อนผมอีกสองคนจะไม่จ้างต่อ  ผมก็เลยต่อรองว่าขอจ้างต่อทั้งหมดได้ไหมถ้าอยู่ก็อยู่ด้วยกันออกก็ออกด้วยกัน เขาก็บอกว่าขอเวลาเขาคิดก่อนสอง สาม วัน
สอง สามวัน ต่อมา เขาก็เรียกผมเข้าไปคุย บอกว่าจะไม่จ้างพวกเอ็งแล้วล่ะ ให้เก็บของกลับบ้านได้ก็เลยจบชีวิตช่างซ่อมมอไซด์เหลือไว้เพียงประสบการณ์ที่รอต่อยอด ตอนนั้นผมอายุราว ๑๗ ปี เป็นช่วงจดจำเรียนรู้ได้เร็ว แล้วผมก็กลับมาอยู่บ้านเลี้ยงควายเหมือนเดิมมีควายอยู่ ๑๐ ตัวครับ พ่อผมก็จะไปกวาดเอาใบมะม่วงซึ่งมีอยู่มากมายในหมู่บ้านมาใส่ไว้ในคอกควายให้ควายเหยียบย่ำผสมลงไปกับขี้ควายกลายเป็นปุ๋ยอย่างดี ตอนเช้าผมก็ไปเกี่ยวหญ้าใช้รถเข็นเดินไปครับไกลบ้างไกล้บ้าง ได้หญ้าเต็มรถแล้วก็กลับบ้าน ตอนบ่ายก็ไปหาขุดใส้เดือนไว้ไปใส่เบ็ดต่อในตอนเย็น ได้ปลามาพอได้กินทุกวัน ไม่พอจะได้ขายเหมือนคนอื่นเขาครับทั้งๆที่จำนวนเบ็ดก็เท่ากัน ผมจะได้ปลาพอได้กิน แต่คนอื่นได้เต็มข้อง สองสามกิโล เลยละครับ ช่วงที่ผมอยู่บ้านเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลเกษตรอำเภอเข้ามาหาแม่ผมอยู่บ่อยๆซึ่งแม่ผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน เวลามีอบรมเยาวชน ผมจึงได้เป็นตัวแทนในระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล  ต่อมาก็ได้เป็นตัวแทนในระดับอำเภอไปอบรมบ่อยมาก ทุกครั้งที่ไปอบรมร่วมกิจกรรมต่างๆก็มักจะได้รางวัลติดไม้ติดมือมาสร้างชื่อเสียงให้อำเภอได้พอสมควร จนได้เป็นรองประธานเยาวชนในระดับจังหวัดร้อยเอ็ด  เป็นตัวแทนของจังหวัดร้อยเอ็ดไปเข้าค่ายการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เขาใหญ่โคราช ซึ่งเป็นค่ายระดับประเทศ ผมได้ให้สัมภาษ กับทีวีช่องอะไรผมก็ไม่รู้ซึ่งตื่นเต้นมากๆครับ ผมได้รางวัลการพูดในที่ชุมชนลำดับที่ ๒ ของจังหวัด ๒ ครั้ง  ครั้งที่ตื่นเต้นและน่าจดจำคือในงานบุญเผวตประจำปีราวปี  ๒๕๓๓ ขึ้นพูดบนเวทีงานบุญ จำหัวข้อที่พูดไม่ได้ครับ
             การเข้าค่ายเยาวชน ราวปี ๒๕๔๑ ที่บ้านหว่านไฟ อ.อาจสามารถ  จ.ร้อยเอ็ด เขาให้เขียนโครงการเราจะอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในชุมชนได้อย่างไร  จะเห็นได้ว่าสมัยก่อนเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าสมัยนี้อีก  หรือว่าสมัยนี้มันไม่มีอะไรจะอนุรักษ์กันแล้วมันถูกทำลายไปหมดแล้ว ผมตั้งหน้าตั้งตาเขียนโครงการทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้โครงการณ์นี้เข้าสู่หมู่บ้านของผมด้วยเงินงบประมาณ ๒๐,๐๐๐  บาท รางวัลเดียวเท่านั้น โครงการณ์ต้องมีหลักการณ์และเหตุผลต่างๆนาๆโดยหลักผมก็จะเขียนไปว่า ในหมู่บ้านของผมมีหนองน้ำมีคันกั้นย้ำเป็นคันดินยาวราว ๑ กม.แต่ละปีในฤดูฝนจะถูกน้ำฝนพัดพาชะล้างหน้าดินพังทะลายต้องซ่อมทุกปีสิ้นเปลืองงบประมาณในการซ่อมซึ่งต้องใช้รถเครื่องจักรน้ำมันล้วนแต่เป็นมลพิษและทำให้เงินรั่วไหลออกไปต่างประเทศ โครงการณืก็คือปลูกต้นยางและหญ้าแฝกสลับกันไปหญ้าแผกยึดหน้าดินต้นไม้ให้ร่มเงา  สุดท้ายผมก็ได้รางวัลที่ ๑ ได้เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการนี้
             สามเดือนต่อมาเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ  เกษตรตำบล ก็เข้ามาหาผมเข้ามาหาแม่ผม พร้อมต้นยูคาลิปตัส สี่พันต้น  ต้นหญ้าแฝกอีกหนึ่งคันรถ  จัดงานกางเต้น มีขนมจีนเป็นอาหารประกาศให้ชาวบ้านไปปลูกมีพิธีเปิดงานปิดงานอย่างดี โดยไม่กล่าวถึงที่มาที่ไปของโครงการ เลยว่าได้มายังไง บอกแต่เพียงว่าโครงการนี้ได้มาจากจังหวัดคัดเลือกเอาหมู่บ้านเรามา  ที่ผมเสียใจที่สุดคือไม่ทำตามโครงการที่ผมเขียนไว้  เอาต้นยูคามาปลูกได้อย่างไร  ก่อนหน้านั้นผมเดินบนคูฝาย คิดจินตนาการไปแล้วว่ามันจะมีต้นยางสูงๆมีใม้หล่นลงมาเป็นป่าเห็ด เป็นที่อยู่อาศัยของนก ของกะปอม จิ้งหรีดฯ มันร่มรื่นมากเหมาะแก่การพักผ่อนเดินเล่น  เมื่อมาเป็นต้นยูคาฯก็จบ
        จากวันนั้นผมกับเจ้าหน้าที่ทางการต่างๆก็จบกันตั้งแต่นั้นมา จนทุกวันนี้คนในหมู่บ้านผมก็ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าต้นยูคาที่ปลูกอยู่ที่คูฝายนั้นมันมีความเป็นมาอย่างไร
        แล้วช่วงหนึ่งราวปี ๓๔ ลุงผมก็ชวนผมไปทำงานกับพี่ฮ็อต ที่ปากช่องกับพาส ลูกพี่ลูกน้อง แต่เราคือพี่น้องกัน เลี้ยงไก่อยู่ที่ปากช่อง แผนกไก่เล็กพวกผมเลี้ยงแต่ไก่ตัวเล็กๆครับพออายุไก่ได้สัก ๑ เดือน พวกผมก็ย้ายไปเตรียมเล้าไก่เพื่อรอรับไก่เล็กหมุนเวียนไปเรื่อยๆที่ แหลมทองฟาร์ม  กม.๙ ทางไปเขาใหญ่  เลี้ยงไก่ที่นี่ผมมีโอกาส ได้สร้างผนงานชิ้นหนึ่ง คือมันมีไก่ตายเยอะมาก และผมก็สังเกตดูมันจะตายเยอะช่วงเปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนน้ำเปล่าเป็นน้ำยา ซึ่งรสชาติ และสีอาจทำให้ไก่ไม่คุ้น อากาศก็ร้อน เมื่อไก่ไม่ยอมกินน้ำหรือกินน้ำน้อยก็ทำให้มันตายเยอะมาก  ผมจึงเสนอให้ผู้ช่วยฟังว่าควรมีนำ้เปล่าวางปนไว้บ้างไม่ควรเปลี่ยนออกทั้งหมด  ผู้ช่วยก็นำเสนอหัวหน้าเป็นลำดับต่อไปทำให้ลดจำนวนการตายของไก่ลงได้มากจนเป็นปกติ เป็นผลงานของผู้ช่วยและหัวหน้าไป  ถึงผมจะไม่ได้หน้าแต่แนวคิดและการรู้จักสังเกต มันก็อยู่กับตัวผมตลอดไป เลี้ยงไก่อยู่ที่นี่ได้ราว ๑ ปี ครับเงินเดือนสองพันกว่าๆเชื่อไหมว่าผมส่งเงินให้แม่เดือนละ สองพันบาท ทุกเดือนเลยครับ ทีเหลือได้ค่าโอ ค่าเบี้ยเลี้ยงคืนละ ๗ บาท ซึ่งได้เฉพาะแผนกไก่เล็กเพราะต้องตื่นผลัดกันมาให้อาหารไก่ตอนกลางคืนทุกชั่วโมง ไก่เล็กอาทิตย์แรกนี่มันไม่หลับไม่นอนเลยกินตลอดเวลา  ทุกวันศุกร์ตอนเย็นจะนั่งรถสองแถวเข้ามาเที่ยวในตลาดปากช่องส่วนมากผมจะซ่อม้วนเทปไปไว้ฟัง อินคาชุดแรกฟังที่ฟาร์มไก่นี่แหละ และผมก็เล่นกีตาร์เป็นเพลงครั้งแรกก็ที่นี่หมากเกมส์นี้คือเพลงแรงของผมที่เล่นได้ โดยพี่บุญส่ง  ด่อนแดง เป็นคนสอนกีตาร์ให้ผมและผมก็ไม่เคยเจอแกอีกเลยค้นหาในเฟสบุ๊คก็ไม่เจอ และแล้วผมก็เบื่อฟาร์มไก่ซะแล้ว ก็กลับไปอยู่บ้านวนเวียนแบบนี้ครับ
       แล้วก็ไปกรุงเทพต่อครับ ถึงแม้ว่าไป นครปฐม  แถวบ้านผมสมัยนั้นก็ยังว่าไปกรุงเทพครับ อยู่แถวพุทธมนฑล สาย ๔ โรงงาน ผลิตแผ่นปริ๊นให้กับบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างๆ ส่วนมากจะเป็นเครื่องเสียง  ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้เงินเดือนเพียง ๑,๘๐๐ บาท ที่พักฟรี ข้าวฟรี กับข้าวหากินเอง ที่นี่เหลือเงินส่งกลับบ้านให้แม่เดือนละพันเองครับ  ที่นี่ทำให้ผมได้รับสารพิษชนิดหนึ่งเข้าไปเต็มๆทุกวันเลยครับเพราะขั้นตอนในการผลิตแผ่นปริ๊นนั้นต้องใช้น้ำกรดในการกัดทองแดงออกจากแผ่นปริ๊นส่วนที่เหลือโดนสีพิมพ์ลายปริ๊นทับไว้ก็จะเหลือเป็นลายปริ๊นแล้วนำไปล้าง และเจาะด้วยสว่านอีกที หากสั่งทีละมากๆบางยี้ห้อก็จะมีแบบพิมพ์ใช้เครื่องปั้มไฮโดลิก ปั้มลงไป ซึ่งก็เสี่ยงต่อการเสียวอวัยวะและมีสองสามคนมั้งครับที่โรงงานแห่งนี้ที่นิ้วมือขาด คิดย้อนกลับก็นึกเสียวครับ เวลาสั่งให้เครื่องปั้มทำงานต้องใช้มือสองข้างกดปุ่มครับ แต่ผมใช้หัวเข่าและใช้เทปกาวปิดกดข้างนึงไว้ เพื่อให้เครื่องปั๊มทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องหยุด มือซ้ายป้อนแผ่นปริ๊น มือขวาจับแปรงรองแผ่นปริ๊นเก็บหากพลาดก็นิ้วขาดครับ  ไม่รู้ผมจะเร่งทำเสี่ยงไปทำไม ค่าแรงก็เท่าเดิม ได้เก้าเดือนผมก็กลับบ้านครับ ผมจำได้ว่าวันลากลับบ้านเจ้เจ้าของโรงงานให้เงินพิเศษให้ผมตั้ง ห้าร้อยบาท และบอกผมย้ำนักย้ำหนาว่าให้กลับมาอีกน่ะจะขึ้นค่าแรงให้และคงคิดว่าผมลากลับบ้านเฉยๆเพราะตอนผมอยู่งานออกตรงต่อเวลา หรือก่อนเวลาด้วยซ้ำไม่เคยผิดนัดลูกค้าเวลานัดมารับงาน แต่เขามาเห็นคุณค่าของผมตอนที่ผมจะกลับบ้านและตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก
           มาอยู่บ้านรอไปคัดเลือกทหารทำนาอยู่บ้านปลูกผักปลูกมะม่วงปลูกถั่วฝักยาวเร่ขายตามหมู่บ้านครับ ตอนเช้าเก็บถั่วฝักยาวมาทำเป็นมัด โดยใช้เชือกจากปอกล้วยมามัดเป็นกำ  กำละห้าบาท กำนึงก็ราว ยี่สิบฝัก เรียงใส่ตะกร้าประมาณสามสิบกำ ออกเร่ขายไปบ้านบักตู้  บ้านน้ำคำ  บ้านขี้เหล็กฯ และบ้านอื่นๆใกล้ๆแถวนั้น  โดยใช้มอเตอร์ไซด์ยามาฮ่า เบลร้อย ขี่ไปจอดท้ายหมู่บ้าน แล้วเดินขายรอบหมู่บ้าน จะขายหมดแทบทุกวัน นอกจากปลูกถั่วฝักยาวขายแล้วยังเลี้ยงไก่เลี้ยงปลาไว้ขายอีกด้วยครับ ช่วงที่รอคัดเลือกทหารผมก็เตรียมความพร้อมของร่างกายไว้โดยออกกำลังกายทุกวัน วิ่ง  ดันพื้น เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่คิดว่าผมคงจับได้ใบแดงได้เป็นทหารแน่ๆ  เพราะพ่อผมเองก็เป็นทหาร หุ่นผมก็น่าจะถูกทหาร  ผมไม่กังวล ไดๆ  จนถึงวันก่อนไปคัดเลือกทหารคืนนั้นเพื่อนๆก็มาฉลองกันเยอะมากที่ทุ่งนาท้ายหมู่บ้านที่ผมทำการเกษตรอยู่และผมก็นอนอยู่ที่นี่  ก่อนจะไปคัดคัดเลือกทหารในวันรุ่งขึ้น มันเป็นครั้งแรกที่ผมเมาเหล้าขาวจนอ้วก  รู้สึกว่ามันทรมานมากปวดหัวอย่างรุนแรง จนวันรุ่งขึ้นก็ไปคัดเลือกทหาร แล้วผมก็จับได้ใบดำครับ
        ผมก็อยู่บ้านทำไร่นาสวนผสมต่อไป เจาะบ่อน้ำบาดาลที่นาซึ่งที่นาผมอยู่ท้ายหมู่บ้าน พี่ที่สนิทกันในหมู่บ้าน พี่บัต มีอุปกรณ์เจาะบ่อบาดาล เลยเอามาช่วยกันเจาะโดยผมกับพี่บัตจับด้ามเหล็กเจาะคนละข้างกระแทกลงไปกับพื้นและหมุนเป็นจังหวะเรื่อย และมีอำพรเพื่อนผม เป็นคนโยกแท่นบาดาลสูบนำ้จากโอ่งต่อเข้าไปกับปลอกเหล็ก ทำกันอยู่สามคนตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็สามารถเจาะบ่อบาดาลได้เป็นผลสำเร็จ  ซื่อเครื่องสูบนำ้มาใส่ ต่อไฟฟ้าเข้าไป ทำไร่นาสวนผสมเต็มรูปแบบ เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงวัว ควาย  ปลูกมะม่วง มะละกอ มะเขือ  ส่วนพ่อผมก็เอาพวก ต้นประดู่ พยูง ฯมาปลูกและปลูกไว้ก่อนหน้านี้ก็มี  จากทุ่งกุลาฯ ทุ่งนาที่ไม่มีต้นไม้แม่แต่ต้นเดียวกลายเป็นสวนป่า สวนมะม่วง
จากพื่นที่โล่งเตียนเป็นป่าไม้
        ช่วงที่ผมอยู่บ้านด้วยชีวิตวัยรุ่นก็อาจมีเบื่อบ้างเมื่ออยู่แต่กับไร่นา  ผมจึงไปทำงานที่กรุงเทพที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โรงงานผลิตกระเป๋าส่งนอก แผนกคิวซี  เช็คตรวจกระเป๋าว่ามีตำหนิอะไรให้แก้ไขรึเปล่าและตัดขี้ด้าย ได้เงินเดือนบวกโอทีราวเดือนละเจ็ดพันถือว่าได้เยอะพอสมควร เพราะมีโอทีเยอะบางทีช่วงไกล้เทศกาล ทำงานกันสองวันหนึ่งคืน ก็เคยทำครับเสื่อผ้าชุดเดียว แต่ก็ทำกันทั้งโรงงาน เพื่อแลกกับวันหยุดช่วงเทศกาลยาวๆ และได้ค่าโอที กลับบ้านเที่ยวสงกรานต์  ตอนเข้าทำงานใหม่ๆก็เคยโดนหัวหน้าคนไต้หวันด่าครับจำได้จนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นโกรธมากแต่ก็ต้องอดทนเพื่ออยู่ ดีกว่าอดตาย  แต่วัยรุ่นทุกวันนี้ส่วนมากไม่อดทน สุดท้ายก็อดตายหรือติดคุก เคยเจอเหมือนกันครับเพื่อนบางคนเวลาเหล้าเข้าปาก ลูกผู้ชายไม่ตายก็ติดคุก  ผมไม่เอาด้วยหรอก ห่างๆเลยไม่คบเพื่อนแบบนี้  ทำงานที่นีเกือบปีครับได้ประสบการณ์อะไรหลายอย่างขี่มอไซด์เกือบโดนชนก็มี ครั้งนึงขี่มอไซด์ผมอยู่เลนขวา มอไซด์อีกคันแซงซ้ายขึ้นมาจะเลี้ยวขวาและเขาคงคิดว่าผมจะเลี้ยวขวาแต่ผมไม่เลี้ยวคนชนกันครับไหล่ชนไหล่แต่รถไม่ชนกัน ก็เกือบล้มทั้งสองคันแต่ไม่ล้มไปต่อได้  ห้องพักอยู่แถวหน้านิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง  อาบนำ้คลองครับไม่รู้ชื่อคลองอะไร  ทำงานที่นี่เกือบปีก็ส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่ใช้ทุกเดือนครับเดือนละสามถึงสี่พันบาท
           เกือบปีผมก็กลับมาอยู่บ้านทำไร่นาสวนผสมเหมือนเดิมครับ ราวปี ๒๕๓๘  ผมลงไปกรุงเทพอีกครั้งแต่ครั้งนี้มาขายลูกชิ้นครับ พักอยู่ซอยสุขสวัสดิ์ ๑๔ หรือซอยปลั่ง ซอยนี้ลึกมากเข้าไปในซอยเป็นกิโล จึงถึงที่พัก ขายลูกชิ้นและปลาหมึกแห้งแถวล่างสามตัวสิบบาท แถวกลางตัวละสิบ แถวบนยี่สิบห้าถึงสามสิบบาท  ลูกชิ้นไม้ละสามบาทเจ็ดไม้ยี่สิบบาท ตื่นเจ็ดโมงเสียบลูกชิ้นกินข้าวเช้าสามโมงกว่าก็นอนต่อ แล้วก็ตื่นตอนเที่ยงมาล้างรถซาเล้ง ล้างตู้กระจกใส่ลูกชิ้นเตรียมของนับลูกชิ้นนับปลาหมึก ราวบ่ายโมงก็ออกไปขาย  ขายไปเรื่อยๆ จนถึงซอยโอ๋เอ๋  หรือซอยโพธิ์ธาราม  แถวซอยโอ๋เอ๋นี่เป็นย่านชุมชนที่กว้างมีซอยเล็กซอยน้อยหลายซอย มีโรงงาน มีกิจการเล็กๆเยอะมากส่วนมากจะเป็นพวกเย็บผ้าทำรองเท้า ซึ่งเช่าห้องแถวทำกันเยอะครับที่นี่จึงเป็นแหล่งค้าขายประจำของผม  วันแรกที่มาขายรู้สึกอายและเขินมากเหมือนกันครับ แต่อาศัยว่าเคยขายถั่วฝักยาวมาบ้างแล้วเลยพอช่วยได้บ้าง  วันนึงพี่บัตได้ข่าวมาว่าที่วัดราชคฤ มีงาน ผมนึกว่ามันอยู่ไกล้ก็พากันไปครับปั่นซาเล้งไป ลักษณะซาเล้งของผมจะเป็นแบบล้อหน้าสอง ล้อหลังหนึ่ง เบาะนั่งอยูทางล้อหลัง แรกๆก็ไม่ชินเท่าไหร่  จากสุขสวัสดิ์๑๔ ไปวัดราชคฤไกลมากครับผมจำได้ว่ามันต้องข้ามทางรถไฟด้วย ไปถึงวัดก็มีงานคนเยอะมาก มีหนังกลางแปลงผมก็จัดเตรียมหาที่จอดเพื่อจะได้ขายของ รอแล้วรอเร่า ก็ไม่ได้ขาย จนห้าทุ่มก็ปั่นซาเล็งกลับเหนื่อยมากลูกชิ้นก็ไม่ได้ขายเหลืออยู่เต็มตู้เลยครับ  การหวังพึ่งน้ำบ่อหน้านี่มันไ่ม่ได้จริงๆ ที่ๆเราขายอยู่ประจำก็ขายได้ทุกวันอยู่แล้วยังจะเสียเวลาไปที่อื่นอีก วันนั้นกลับถึงห้องตีสองครับ
         การมาขายลูกชิ้นที่นี่มีรถขายอยู่ด้วยกันห้าคันพวกผมจะขายกินเปอร์เซ็น ๒๕ เปอร์เซ็นครับ
ผมจะขายได้วันละประมาณ ๑,๓๐๐  บาท หักเปอร์เซ็นได้ราวสามร้อยบาท  ถ้าเป็นวันเสาร์จะได้ พันห้าถึงสองพันบาท  เพราะวันเสาร์คนนอนดึกและสังสรรค์กัน ได้ขายปลาหมึก ได้เงินเร็วกว่าขายลูกชิ้นครับ  การขายลูกชิ้นทำให้ผมได้เป็นเจ้าของได้สัมผัสกับเงินหมื่นเป็นครั้งแรกครับ ผมจะขึ้นมาขายลูกชิ้นประมาณสามสิบห้าถึงสี่สิบวัน ได้เงินราวหมื่นสองพันบาท  หนึ่งหมื่นผมจะให้แม่  ส่วนสองพันผมเก็บไว้ใช้ส่วนตัว เที่ยวงานเทศกาลประเพณีงานวัดตามหมู่บ้านต่างๆ  ในช่วงที่ผมขายลูกชิ้นนี่เอง แม่ผมก็ให้ผมไปสมัครเข้าเรียนที่ กศน.ประทุมรัตต์ ผมก็อ่านหนังสือไปสอบ ตอนไปขายลูกชิ้นผมก็เอาหนังสือไปอ่านด้วย จนผมเรียนจบ กศน.ด้วยทุนจากการขายลูกชิ้นนี่แหละ  ระยะหลังเฒ่าแก่ให้ขายปลาหมึกสดด้วย ท้ายรถซาเล็งจึงมีถังนำ้แข็งใส่ปลาหมึกอีก  ช่วงฝนตก ที่กรุงเทพนำ้ขังเร็วมาก  ผมต้องจำให้ได้ด้วยว่ามันมีหลุมอยู่ตรงไหนบ้างเพราะเวลาน้ำขังมันมองไม่เห็นหลุม หลุมจะเป็นหลุมสี่เหลี่ยมที่เขาทำไว้ระบายน้ำ  บางหลุมเอาแผ่นไม้ปิดไว้ครับ ผมก็ปั่นซาเล้งเข้าไปกะว่าจะให้ล้อรถเหยียบกับแผ่นไม้  พอล้อรถเข้าไปไกล้จะถึงแผ่นไม้ แรงกระเพือมของน้ำดันไม้ลอยไปสิครับ ล้อรถตกหลุมโครมเลย ผมต้องรีบกระโดดลงจากรถมาประครองรถไว้เกือบไม่ทัน

    ช่วงขายลูกชิ้นแม่ก็ให้ผมไปสมัครเรียน กศน.ไปด้วย ผมก็ขายลูกชิ้นไปด้วยอ่านหนังสือบ้างเท่าที่จะพอมีเวลาถึงเวลาสอบก็ลงไปสอบ จนจบ ม.6 กศน. แล้วแม่ก็อยากให้ผมไปสอบตำรวจ ตอนนั้นผมอายุย่าง 26 ปี ก็เลยไปสมัครสอบตำรวจ และไปติวที่สถาบันติวสอบตำรวจแห่งหนึ่งที่โคราช มีเวลาอ่านหนังสือ 50 วัน ผมก็เข้าไปติวบ้างพอรู้แนวทาง แต่เวลาส่วนใหญ่จะออกไปหาที่อ่านหนังสือซึ่งแถวนั้นมีบ้านจัดสรรร้างอยู่แถวนั้น จึงเป็นที่อ่านหนังสือที่สงบดีมากๆ  เพื่อนที่สถาบันติวเขาจะนิยมตื่นตอนตีสามตีสี่มาอ่านหนังสือ แต่ผมทำภาระกิจเสร็จก็เริ่มอ่านตั้งแต่สองทุ่มจนถึงตีสาม พวกเพื่อนตื่นมาผมก็ขึ้นไปนอนตื่นตอนสายๆ สองสามโมง เข้าเรียนเช้า ช่วงบ่ายก็ออกไปอ่านหนังสือจนเย็น  อาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบผมก็กลับมาอ่านหนังสือที่บ้าน อ่านตั้งแต่หกโมงเย็นยันเจ๊ดโมงเช้าเลย จนถึงวันสอบก็อ่านจนถึงวินาที่สุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ
             วันประกาศผลสอบก็เดินทางไปดูที่เขาติดประกาศที่ รร.ตร.ภ.3 โคราช ไปปิคอัพโตโยต้าไฮลักฮีโล่ ไปกัน กับน้องๆ 4 คน หนวด (ปัจจุบันเป็นทหารบก) ปุ้ย (ปัจจุบันเป็นทหารอากาศ) วิน (ทำงานบริษัท)  ไปถึง รร.ตร.ภ.3 ราวตี 4 นอนรอเขามาติดประกาศ 7 โมงเช้าเขาก็เอาประกาศผลผู้สอบผ่านมาติด ผมก็เดินไปดูก็น้อง ผมคิดในใจตอนนั้นว่าถ้าสอบไม่ติดจะรีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือตั้งแต่วันนี้จนถึงปีหน้าเพราะมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งปีหน้า   แล้วน้องปุ้ย ก็เป็นคนเห็นรายชื่อผมก่อนนั่นไงชื่อพี่ป๋องพร้อมแสดงความดีอกดีใจกัน 4 คน พี่น้อง ผมสอบได้ลำดับที่ 58 หรื 68 นี่แหละ ไม่แน่ใจ ยอดผู้สมัครสี่พันกว่าคน  เจ็ดวันต่อมาก็สอบ พละ เป็นวันที่วิ่งเหนื่อยมาก สอบว่ายน้ำก็เกือบตกอีก ตอนกระโดดน้ำผ้าพันคอผมดันหลุดปกติหลุดก็ไม่เป็นไรแต่วินาทีนั้นผมว่ายกลับมาเอาผ้าพันคอมาคาบไว้แล้วว่ายต่อไปซึ่งยากกว่าเดิมเพราะต้องโต้กับคลื่นที่ตีมาจากเพื่อนๆที่ว่ายน้ำไปก่อนผมก็แซงได้คนนึง คนนั้นไม่ผ่าน
      จนได้มาเข้าเรียนที่  รร.ตร.ภ.3 คนที่ภาคภูมิใจมากที่สุดคือพ่อแม่ของผมที่ได้เห็นลูกรับราชการตำรวจ  ซึ่งเป็นค่านิยมของคนไทยที่อยากให้ลูกๆรับราชการ  เรียนที่ รร.ตร.ภ.3 ได้เจอกับเพื่อนๆมากมายซึ่งแต่ละคนก็มีความรู้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป การได้เรียนร่วมกันนอนในห้องกว้างๆด้วยกัน วิ่งด้วยกัน ถูกทำโทษด้วยกัน กินข้าวฯต่างๆร่วมกันทำให้เกิดความรักความสามัครคีในหมู่คณะเป็นอย่างดี
        1 ปี ก็เรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ตนได้เลือกไว้ ส่วนคนที่สอบได้ลำดับท้ายๆอย่างผมตอนสอบออกจะอยู่ลำดับท้ายๆมีสิทธิ์เลือกที่ลงไม่มากนัก ก็เลยเลือกลงที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
กุมภาพันธ์ 2544 ก็ได้ทำงานที่ สภ.ภูสิงห์
       และได้รู้จักกับครูสาวคนนึงเธอเป็นคนกาฬสินธุ์ และก็ตกลงสละโสดจัดงานแต่งงานกันแบบเรียบง่ายแบบบ้านๆทั่วไป จนตอนนี้ก็ได้ลูกสองคน คนแรกลูกชายชื่อน้องป้าง และลูกสาวชื่อน้องป่าน
       ปี 2549 ผมก็ได้มีร้านเป็นของตัวเองโดยกู้เงินซื้อที่ดินและสร้างร้านขึ้นมาเอง ตอนนั้นก็ ขายคอมพิวเตอร์มือสอง และซ่อมคอมเป็นหลัก และทำวงดนตรีไปด้วย โดยรวบรวมวัยรุ่นและนักเรียนมัธยมเล่นรับงานดนตรีทั่วไป จนต่อมาต้องยุบวงเลิกเล่นดนตรีไปเพราะในช่วงชุมนุมประท้วงบ่อยๆผมอยู่ในชุด ปจ.บ่อยครั้งที่รับงานดนตรีไว้แล้วต้องให้วงอื่นไปเล่นแทน เลยตัดสินใจไม่ทำวงดนตรี  หันมาทำห้องซ้อมดนตรี  ขายอุปกรณ์ดนตรีแทน หนีจากดนตรีไม่ได้เพราะรักมาก ช่วงนี้จึงได้แต่งเพลงและทำดนตรีอัพโหลดขึ้นยูทูปเล่นๆ  ออกหาถ่ายภาพวิวทิวทัศน์สวยๆรอบภูสิงห์แทบทุกอาทิตย์
       

https://www.youtube.com/channel/UC7udSdV5XOvrlgtDoNHq9ww?view_as=subscriber



วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หมู่บ้านชั่วคราวเมืองใหม่ช่องสะงำ






เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ นายยุทธนา วิริยะกิตติ  ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้ลงนาม
ตั้งว่าที่ผู้ใหญ่บ้านเมืองใหม่ช่องสะงำ โดยมีผล ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ ถึง
วัน ที่  ๑๒​กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ บนเวที่ชั่วคราวบริเวณสถานีขนส่งเมืองใหม่ช่องสะงำต่อหน้าข้าราชการพี่น้อง ประชาชนทุกภาคส่วนทั้ง ไทยและกัมพูชา


จากนั้นก็ได้มอบป้ายหมู่บ้านให้กับ  นายธงชัย  โกลิยวงค์สกุล  ว่าที่ผู้ใหญ่บ้านเมืองใหม่ช่องสะงำ




จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เดินทางไปเปิดที่ทำการ ศูนย์บริการร่วมอาเซียน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๕๐๐ เมตร

 ซึ่งศูนย์บริการร่วมอาเซียนประกอบไปด้วยส่วนราชการต่างๆมาอยู่ประจำคอยให้คำแนะนำและบริการเมื่อมีผู้มาติดต่อใช้บริการ
สำหรับผู้ที่จะเดินทางออกไปกัมพูชาช่วงนี้ต้องมีพาสปอท หรือบอเดอร์พาส เท่านั้นครับ ซึ่งบอเดอร์พาส(หนังสือผ่านแดนชั่วคราว)สามารถทำได้ที่ศูนย์บริการร่วมอาเซียนได้ครับ แต่ต้องมีชื่อในทะเบียนบ้านของเขต จ.ศรีสะเกษ ครับ


มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียวแบ่งให้ส่วนราชการที่มาคอยให้บริการใช้เป็นที่ทำการ
ส่วนราชการละ ๑ ห้อง



หลังจากนั้นท่านผู้ว่าราชการได้เดินทางไปเปิดตลาดโรงเกลือศรีสะเกษ ข้างๆที่ทำการขนส่งเมืองใหม่ช่องสะงำ
https://www.youtube.com/channel/UC7udSdV5XOvrlgtDoNHq9ww?view_as=subscriber


https://www.youtube.com/channel/UC7udSdV5XOvrlgtDoNHq9ww?view_as=subscriber

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การแต่งเพลงด้วยโปรแกรม GarageBand

     ผมรู้จักกับโปรมแกรม Garageband โดยบังเอิญ เพราะผมแต่ก่อนผมใช้ Logic 5.2 พอใช้ไปใช้มาก็เปลี่ยนคอมฯ ใหม่ พอลงวินโดว์ 7  ก็ลง Logic ไม่ได้ประกอบกับ Logic พัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ๆ มารองรับเฉพาะ แมค  ผมก็เลยจำเป็นต้องซื้อแมค  เพื่อมาทำเพลงและเพื่อจะได้ใช้ Logic พอซื้อแมค มา ตังหมด เลยยังไม่ซื้อ Logic  ก็ศึกษาและใช้งานเจ้า Garageband ไปพลางๆก่อน ใช้ไปใช้มาก็เกิดติดใจครับเทียบกับ Logic 5.2 ที่เคยใช้ก็ ไม่รู้ใครเป็นใครละ แต่คิดว่าพออัพแมค มาเป็น  OSX Yosemite  แล้วเสียตังอัพ Garaband Version 10.1.0


ไป สองร้อยกว่าบาท รู้สึกว่าได้เอ็พเฟ็ค และอื่นฯ มาอีกเพียบเลยครับ
      นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่ต้องเสียตังซื้อ Logic ราว หกพันกว่าบาท สำหรับฝีมือเริ่มต้นอย่างผมแค่นี้ก็หรูแล้ว มาเริ่มกันเลยครับในแบบฉบับของผม อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองทำดูครับผมไม่ได้อิงหลักวิชาการใดๆทั้งสิ้น นี่เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งที่ทำเสร็จไปหลายเพลงแล้วครับ

1.เปิดโปรแกรม ถ้ามีเพลงที่สร้างไว้จะมีงานเก่าให้เราเลือก ถ้าเริ่มงานใหม่ให้คลิกที่ New Projic



2.  จะพบรายการให้เลือกว่าจะเลือกแนวเพลงแบบได ซึ่งสามารถเพิ่มแทรค หรือรูปแบบเสียงที่เราต้องการภายหลังได้



3.แทรคบนจะเป็นกลองสำเร็จรูปมาให้หากเราไม่ชอบก็สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และมีให้เลือกหลายแบบ


3.คลิกที่ Rock เพื่อเลือกลองฟังดูว่าชอบแบบไหน

4.คลิกที่รูปคน จะมี สไตร์ของกลองเพิ่มขึ้น




 5.ที่มุมซ้ายบน จะมีสัญลักษณ์ คลิกเลือกว่าจะให้โชว์ หน้าต่างปรับแต่ง ตัดต่อ  หากไม่ต้องการให้แสดงก็คลิกซ้ำที่เดิมอีกครั้ง



 6.ก็จะได้หน้าต่างแบบนี้ครับ


7.หากเราพอใจกลองแทรคนี้ก็ใส่ดนตรีชิ้นต่อไปได้ครับ หากไม่พอใจเราก็เพิ่มแทรคกลอง มิดี้เข้ามาครับ เราปิด กลองแทรค 1 ไว้ก่อน   คลิก Track -  New Track 


คลิก  Play sound (รูปเปียโน)  คลิก 






8.จะออกมาเป็นแทรคเปียโนแล้วเราคลิกแทรค เปียโน 1 ครั้ง แล้วไปคลิกเลือกให้เปลี่ยนเป็นกลองชุดได้โดย

 คลิก Drum Kit แล้วจะมี รูปแบบกลองให้เลือกได้ตลอดเวลา



 9. คลิกที่ Apple Loops  จะมี ไฟล์เสียงกลองและเสียงดนตรีมากมาย ทั้งมิดี้(รูปตัวโน้ต)และเวพ
(รูปคลื่น) เลือกมาตกแต่งได้ตามใจชอบ 


 10. และมีอีกวิธีหนึ่งที่หลายท่านนิยมกันก็คือสร้างเสียงกลองขึ้นมาเองตีเองบันทึกออกมาเป็นไฟล์มิดี้  โดยใช้คีบอร์ดคอมฯเรานี่แหละ ควรเป็นคีบอร์ดแยกต่างหากจาก แมคบุ๊กนะครับถึงจะตีสะใจ
คลิกที่ Window  Show  Musical Typing
ก็จะได้เครื่องดนตรีชั้นเยี่ยมเป็นพันๆชิ้นเลยที่เดียว




11. เราสามารถบันทึกแบบวนซ้ำได้ครับ คือเราคลิกแถบสีเหลืองด้านบนไว้ตามที่เราจะสร้างเพื่อนำกลองที่สร้างไว้ไปต่อกัน




โดยคลิกบันทึกเราก็ตีเฉพราะ กระเดื่องกับสแนร์ก่อน เมื่อวนมารอบสองเราก็ตีไฮแฮชประมาณนี้ครับ  หากขาดตก ก็แก้ไขได้ ง่ายมากครับ
คลิกรูป กรรไกร เพื่อแก้ไข เป็นรายตัวไปเลยครับ



กด command +คลิกเพื่อวางโน้ตตัวใหม่ได้

12.  หากต้องการสร้างแทรค เปียโน เครื่องเป่า ต่างๆ ก็สามารถเลือกได้โดยทำคล้ายๆกันกับการสร้างเสียงกลองครับ ส่วนนำ้หนักเสียงดังเบาของแต่ละตัวโน้ตซึ่งสำคัญมาก ก็สามารถแก้ไขโดยคลิกตัวโน้ตที่ต้องการแล้วคลิกเลื่อนดังเบาได้ตามรูปด้านล่างครับ

สังเกตดีๆนะครับ  Notes  และ  Velocity

13.ต่อไปใส่กีตาร์กันเลยมั้ยครับ แทรคกลองดึงยาวไปเลยสำหรับคนถนัดกีตาร์ก็จะใช้กีตาร์นี่แหละปิดล้อมกั้นที่สิ้นสุดเพลง สร้างไอเดียต่างๆเพื่อให้ลูกเล่นอื่นๆตามมา  หรือบางอารมณ์ บางวัน บางท่าน บางคน หรือส่วนมาก ก็จะสร้างเสียงกลองให้เรียบร้อยก่อน แต่ที่ทำง่ายๆก็ใช้ เสียงเปียโนเป็นเมโรดี้ นำไปก่อน แล้วสร้างท่อนฮุกท่อนโซโลกันไป ตามแต่ ความถนัดครับ
       ผมดึงแทรคกลองยาวออกไปก่อนครับเพลงนี้ แล้วบันทึกกีตาร์กันครับ


  สีเหลืองวนลูบ

เอาออกซะ คลิกลูกศร วน













หากต้องการให้ได้ยินเสียงเอ็ฟเฟ็คเวลาเล่น และ บันทึกก็คลิกที่ไอคอนข้างหูฟัง ผมไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไรสามารถเลือกได้เยอะครับ  หากเวลาบันทึกมีเสียงหอนบางทีก็อาจเกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของซาวด์กาด ซึ่งเป็นบ่อยสำหรับคนมีหลายตัวหรือถอดออกถอดเข้าบ่อยๆ วิธีแก้ อาจ รีสตาส หรือตั้งค่าใหม่โดยคลิกปรับซาวด์อีกทีครับ




คลิก  Garage Band  -  Praferences




คลิก ลำโพง เลือกซาวด์ที่ใช้ครับ ของผมเองเป็นซาวด์ Yamaha บางครั้งก็เลือก Yamaha แต่บางครั้งก็ไม่มีให้เลือก ก็ต้องเลือกเป็น USB Audio codec  ครับ

วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้พบกัน ตอนต่อไปคงเรียบเรียงได้ดีกว่านี้


บทเพลงช่องนี้ล้วนทำจากการาจแบรนครับ

https://www.youtube.com/channel/UC7udSdV5XOvrlgtDoNHq9ww?view_as=subscriber
















วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิวสวยๆทางไปช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ

ช่องสะงำ
https://www.youtube.com/channel/UC7udSdV5XOvrlgtDoNHq9ww?view_as=subscriber
ช่องสะงำ
         ช่องสะงำ หรือ เมืองใหม่ช่องสะงำ เป็นส่วนหนึ่งของตำบลไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
เป็นด่านชายแดนถาวร ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยว นครวัด ประเทศกัมพูชา  มักจะใช้เส้นทางนี้ในการผ่านเข้าไปเพราะเป็นเส้นทางที่สะดวก และ ใกล้ ห่างชายแดนไป ราว 120 กม. ก็ถึงหนึ่งในเจ็ด
สิ่งมหรรศจรรย์ของโลกกันแล้วครับ

  บ้านแซร์ไปร์    
           บ้านแซร์ไปร์ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์  จ.ศรีสะเกษ  เป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนถึงช่องสะงำ

ระหว่างทางบนภูเขา
        ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ตัดใหม่เพื่อขึ้นไปด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ ซึ่งต้องตัดต้นใม้และขุดเจาะระเบิดภูเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งถนนเพื่อการคมนาคมที่สะดวก สองข้างทางจึงเต็มไปด้วยต้นไม้ธรรมชาติที่งดงาม อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ โดยเฉพาะตอนเช้าๆ

จุดชมวิวทางขึ้นช่องสะงำ 


ทางฝั่งขวามือทางขึ้นช่องสะงำ เป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวนิยมจอดรถพักชมวิว ถ่ายภาพ ซึ่งเป็นมุมมองที่มองออกไปได้ไกลๆ จนถึงเขต อ.บัวเชด จ.สุรินทร์  ส่วนหนองน้ำที่เห็นนั้นมีชื่อว่า เขื่อนห้วยสำราญ


เขตแดนไทยกัมพูชา

     ในทุกเช้าวันพฤหัสบดี และ เช้าวันอาทิตย์ ที่ตลาดเมืองใหม่ช่องสะงำ จะมีตลาดนัด ก็จะคึกคักเป็นพิเศษ  ชาวกัมพูชา จะมารอ ที่ประตูทางเข้า เพื่อรอด่านเปิด เวลา 07.00 น  (ซึ่งขณะนี้ผู้นำผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกำลังเสนอขอเปิดด่านเวลา 06.00 น.ถึง 24.00 น.)



เมื่อถึงเวลาเปิดด่านชาวกัมพูชาก็ วิ่งเข้ามาที่ด่านไทยเพื่อรับบัตรผ่านแดนกับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย









      รถที่ใช้ในการขนสินค้าส่วนมากจะเป็น มอเตอร์ไซด์พ่วงรถเข็ญ  และต่อลังพลาสติกออกมาด้านข้างทั้งสองข้าง

















        ที่ตลาดเมืองใหม่ช่องสะงำส่วนมากก็จะเป็นสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าคนไทย และมีบ้างที่ชาวกัมพูชา นำสินค้าเข้ามาขาย ซึ่งจะเป็นของป่าเช่นอีลอก  และหญ้าคาที่มัดเสร็จแล้วเพื่อนำไปมุงหลังคา





มะพร้าวยังเป็นสินค้าที่กัมพูชา ต้องการมาก สังเกตจากจำนวนการซื้อขาย






                                                              ที่ซื้อแล้วรอขนกลับบ้าน








                                                                 ใข่เป็ดจะขายดีกว่าไข่ไก่





หอยขมก็ขายดีครับ



ผักสดต่างๆก็มีมาขายหลายเจ้าเช่นกันครับ  นอกนั้นก็จะมีพวกปลา เนื้อหมู ขนมต่างๆ
















นี่ก็มีบริการแลกเปลี่ยนเงินตราครับ ลืมถามครับว่าอัตราแลกเปลี่ยนคือคิดค่าบริการกันยังไง ดูจุดนี้ก็อาจเป็นตัวบ่งชี้ การจับจ่ายใช้สอยได้ในระดับนึง





ไพหญ้า ขนมาจากฝั่งกัมพูชา ราคาราวไพละ 10 - 15 บาท

สถานการณ์ปัจจุบัน มิ.ย.๕๘  จะคึกคักเฉพาะวันตลาดนัด ส่วนวันธรรมดายังเงียบ คนส่วนมากไม่ค่อยแวะเมืองใหม่ช่องสะงำ เพราะจะมุ่งตรงไปที่ช่องสะงำเลย เพื่อไปท่องเที่ยวหรือเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อน


     https://www.youtube.com/watch?v=UwP1uaeuMys&feature=youtu.be